คำตอบคือ "ไม่" ครับ ระหว่างปี 1928 ถึง 2013 การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น 50% ในตลาดหุ้นดาวโจนส์มาจากวันที่ดีที่สุด 20 วัน ลองคิดดูสิครับ ช่วงเวลาเพียง 0.
ไม่ถัวเฉลี่ยขาดทุนอีก ๒. ต้องตัดขาดทุนไม่ให้เสียหายเกิน 10% ๓. ห้ามซื้อหุ้นตัวเดียวเกิน 20% ของพอร์ต เมื่อมีกฎการเทรดแบบนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการเคลียร์พื้นที่เสียก่อน กำจัดหุ้นที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจออกไปให้หมด การขายขาดทุนจึงเริ่มขึ้น ผมใช้หลักการทยอยขายออก แบ่งขายทีละ 5% ของพอร์ต ให้การขาดทุน เสียเงินที่ละหลักพัน ค่อยๆ หลอกตัวเอง ทีละนิด เชื่อมั้ยครับ?
ได้ผลครับ หลังจากนั้น ผมจริงจังกับการตัดขาดทุน และ บริหารความเสี่ยง อย่างรัดกุม ทำให้ผมไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องขาดทุนหนัก แบบเดิมอีกเลย มันช่วยผมให้เป็นผู้อยู่รอดได้นานขึ้น เมื่อคุณอยู่รอดได้นานขึ้น ก็มีโอกาสรวยได้มากขึ้น ๔. ผมใช้หลักการ "ให้ความเจ็บปวดสอนตนเอง" เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง ชัยชนะสอนอะไรเราได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับความพ่ายแพ้ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันที่ ไอดอล ของผมทำ ๕. Sometimes you win and sometimes you have to learn. ถ้าอยากไปให้สุดในสายอาชีพนี้ คุณต้องผ่านช่วงนี้ให้ได้ ผ่านไปด้วยการเรียนรู้ว่า - การขาดทุนหนักเป็นเรื่องปกติ ของนักลงทุนมือใหม่ - เซียนหุ้น ก็เคยผ่านช่วงนี้มาก่อนเช่นเดียวกันกับคุณ - การขาดทุนยับเยิน มันสะท้อนเรื่อง risk management ที่ไม่ดีพอ แต่มันก็สอนคุณได้มากมายในเรื่องของ "การให้ความเสี่ยงมาก่อน" ทำไมคุณถึงต้องจริงจังกับ risk management คำตอบก็คือ คุณไม่ต้องการไปเจอความเจ็บปวดแบบเดียวกันนี้อีก (สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ "นักเทรดฮีโร่" ที่บอกว่า การขาดทุนหนัก เป็นเรื่องปกติของเส้นทางนักเทรด ครับ) นอกจากนี้ หนังสือชุด Market Wizards ก็มีบอกเรื่องนี้เช่นกัน บทความ พ่อมดก็เคยเจ๊งหุ้นมาก่อน ๖.
แน่นอนว่าเราก็อาศัยการดูจากกราฟนั่นแหละ ในการเทรดหุ้นแบบสวิงที่มีกรอบราคาเคลื่อนไหวแรงๆ เราต้องอาศัยการดู timefram อย่างน้อย 30m กำลังดี ยิ่งดู tf สั้นเท่าไหร่ยิ่งดี(หรือ15m) เพราะจะเห็นช่วงการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างวันชัด และในกรณีที่หุ้นเคลื่อนไหวรุนแรง การเปิด tf สัก 30m นั้นถือว่ากำลังพอดี จากรูปเราจะเห็นได้ชัดว่า ราคาใดคือ แนวรับ และแนวใดคือแนวต้าน จะเห็นว่า กรอบราคาสำคัญจะ วิ่งอยู่ที่ 400-560เป็น กรอบใหญ่ และช่วงกำหนดราคากลางจะอยู่ที่ 480- ทีนี้เราต้องวางแผนการเข้าซื้อ โดยกำหนดกรอบราคาล่วงหน้าคร่าวๆเอาไว้ก่อน เมื่อเราได้ราคาปิดของวันที่ 29 ธ. มาที่ 430 ตีเลขกลมๆ เมื่อใช้ทฤษฎี 2 ฟลอร์ 1 ลิ่ง มาจับ ก็จะได้ กรอบราคาไฮของวันพรุ่งนี้ที่ 559 เห็นไหม ว่ามันช่างพอดีเป๊ะอะไรซะขนาดนั้น ทำไมเราถึงใช้ กฏ 2 ฟลอร์ 1 ลิ่ง กับ delta หล่ะ ในเมื่อก่อนหน้านี้ หุ้นไม่ได้ติดลบฟลอร์ 2 ครั้งติดสักหน่อย? จริงอยู่ที่หุ้นไม่ได้ร่วงทำฟลอร์ 2วันติด แต่... ในเชิงจิตวิทยา หากนับจากราคาไฮที่หุ้นร่วงลงมา จาก 830 มา ที่ 400 นี่ก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการโดน 2 ฟลอร์เลยค่ะ ตีว่าวันละ -28% โดน 2รอบเลยค่ะ เมื่อใช้ tf 30m ก็จะทำให้เราเห็นช่วงราคาชัดขึ้น วางแผนได้ง่ายขึ้น โดยเราก็จะวางแผน ขายแนวต้านที่ 560 เผื่อแก๊ปสัก 20-30 จุดในการขาย (ใช้การตั้งราคาในช่วงที่มีโอกาสแมทได้ง่ายที่สุด มีความเป็นไปได้มากที่สุด) และตั้งรับที่ 485 ถึงตรงนี้จะเห็นว่าก็สัมพันธ์กับการซื้อขาย แก้พอร์ตของเรา ที่ขาย 510-550 และรับที่ 485 ง่ายๆแค่นี้เองค่ะ ลองเอาไปแอพพลายใช้กันดูนะคะ
มีให้เห็นเกือบทุนวัน พอร์ตติดลบหนักแก้อย่างไรดี พร้อมกับโพสต์รูปพอร์ตตัวเองที่แดงเถือก แต่ละตัวติดลบหลายสิบเปอร์เซ็น มันสะท้อนชัดเจนว่า เม่ามือใหม่กับดอยเป็นของคู่กันจริง ๆ และเมื่อหาวิธีแก้ติดดอยไม่ได้ ทำไม่เป็น หลายคนก็ล้มหายตายจากออกไปจากสนามหุ้น จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี? ก่อนอื่น เม่าต้องยอมรับก่อนว่าอาการติดดอย เป็นสิ่งแก้ยาก แต่มันแก้ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุดเลยคือ " จิตใจ " ทำไมยอมเห็นหุ้นในพอร์ตติดลบด้วยตัวเลขสองหลัก? สองหลักแบบเลขหน้าขึ้นต้นด้วยเลข 5 6 7 8 หรือ 9 แต่ทำไมตอนขาดทุนด้วยเลขตัวเดียว ถึงไม่ยอมคัทลอส? 2 คำถามนี้ เป็นสิ่งที่คาใจมาโดยตลอด ซึ่งวันนี้ก็เริ่มกระจ่างมาบ้างแล้ว แต่จะถูกหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ใจ คำตอบที่ได้คือ "ข้ออ้าง" อ้างว่าเดี๋ยวมันก็กลับมา อ้างว่าเป็นเงินเย็น สารพัดข้ออ้างที่ไม่ยอมให้เงินต้นหายไปอย่างเป็นทางการ (ไม่ขาย ยังไม่ขาดทุนจริง ๆ หนิ อะไรทำนองนั้น) สุดท้ายติดดอยนานแสนนาน จนต้องปลอบใจตัวเองว่า "เหมือนซื้อหวย ถ้ากลับมาก็ถือว่าถูกหวย" นี่เป็นคำพูดของนักลงทุนรุ่นเก๋า (อายุวัยเกษียณ) ที่ได้มีโอกาสคุยด้วยตอบไปประชุมผู้ถือหุ้นตัวหนึ่ง อ้าว!!!
ทำไมทำหุ้นเป็นหวยไปละครับคุณป้า (สิ่งที่เถียงในใจ) ถ้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ติดดอยสูงซ้ำ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรจะทำอย่างไร?